บทวิเคราะห์ : เหตุใดจึงกล่าวว่า “การเผชิญหน้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาถือเป็นความไม่มั่นคงที่ใหญ่ที่สุด”
เมื่อไม่นานมานี้ เอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐอเมริกาได้ให้มุมมองขณะกล่าวสุนทรพจน์ว่า “การแยกห่วงโซ่อุปทาน”ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกานั้นเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด และการเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองประเทศถือเป็นความไม่มั่นคงที่ใหญ่ที่สุด นักสังเกตการณ์เห็นว่าทัศนะดังกล่าวของเอกอัครราชทูตผู้นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดของการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาที่มีต่อทั่วโลก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐอเมริกาประสบความยุ่งยากหลายครั้ง ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศนับวันทวีความรุนแรงมากขึ้น ในด้านการทหาร กองทัพสหรัฐอเมริกา พร้อมพันธมิตรดำเนินการซ้อมรบใกล้จีนบ่อยครั้ง ในด้านเศรษฐกิจ สหรัฐอเมริกาได้เพิ่มการคว่ำบาตรวิสาหกิจจีนทั้งยังขอให้ประเทศอื่นๆ ทำตามด้วย ในด้านการเมือง สหรัฐอเมริกาได้ตั้ง “พันธมิตรยับยั้งจีน” เช่น กรอบความร่วมมือควอด (Quad)ซึ่งเป็นการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลียซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “มินินาโตเอเชีย-แปซิฟิก” ฯลฯ สหรัฐอเมริกามีความมุ่งหมายที่จะยับยั้งการผงาดขึ้นของจีนด้วยวิธีการเหล่านี้ ทว่าการเผชิญหน้าไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา หากจีนและสหรัฐอเมริการ่วมมือกันก็จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย แต่หากเผชิญหน้ากันก็จะบาดเจ็บทั้งคู่ มีเพียงทั้งสองฝ่ายต่างแสวงหาจุดร่วมสงวนจุดต่างเท่านั้นจึงจะสามารถบรรลุการอำนวยผลประโยชน์แก่กันและได้ชัยชนะด้วยกันได้ รวมถึงร่วมกันส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาของโลก ด้วยเหตุปัจจัยดังนี้
ประการแรก ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีน-สหรัฐอเมริกามีผลกระทบอย่างมากต่อโลก ปัจจุบันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจจีนและสหรัฐอเมริกาเป็นสำคัญ และความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศก็ส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาของเศรษฐกิจโลกเช่นกัน หากความขัดแย้งและข้อพิพาทระหว่างสองฝ่ายยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้น ก็ย่อมจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกอ่อนแอ ลัทธิกีดกันทางการค้า ประชานิยม และปรากฏการณ์อื่น ๆ ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของจีนและสหรัฐอเมริกาได้หลอมรวมกันอย่างลึกซึ้ง นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 เป็นต้นมา แม้ว่าสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอย่างต่อเนื่อง แต่ยอดการค้าระหว่างกันในปี 2022 ก็ยังคงสูงถึงเกือบ 760,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ “รายงานการส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังจีนประจำปี 2023”ที่เผยแพร่โดยสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-จีน (US-China Business Council) แสดงให้เห็นว่า การส่งออกของสหรัฐอเมริกาไปยังจีนได้สร้างงานมากกว่า 1 ล้านตำแหน่งให้กับชาวอเมริกัน มีบริษัทของสหรัฐอเมริกา มากกว่า 70,000 บริษัทที่มาลงทุนและเปิดดำเนินธุรกิจในประเทศจีน และเกือบ 90% มีผลประกอบการที่ได้กำไร บริษัทอเมริกันเหล่านี้ได้สร้างเครือข่ายการผลิตขนาดใหญ่ในจีนและพึ่งพาผู้บริโภคชาวจีนเป็นอย่างมาก นี่คือเหตุผลโดยตรงที่แวดวงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมของสหรัฐอเมริกาไม่เห็นด้วยกับ“การแยกห่วงโซ่อุปทาน” กับจีน อนึ่ง ผลการสำรวจจากหอการค้าจีนในสหรัฐอเมริกา(Chinese chamber of commerce in U.S.A)ระบุว่า 66% ของบริษัทอเมริกันในจีนจะรักษาไว้หรือเพิ่มการลงทุนในจีนในอีกสองปีข้างหน้า
ประการที่สอง หากมองจากแง่ความมั่นคงของโลก ทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาต่างก็เป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ ซึ่งมีผลกระทบสำคัญต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของโลก หากความขัดแย้งระหว่างกันยังคงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ก็ย่อมจะส่งผลกระทบทางลบอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของทั่วโลกอย่างแน่นอน
ประการที่สาม จีนและสหรัฐอเมริกามีบทบาทสำคัญในด้านธรรมาภิบาลโลก ในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จีนและสหรัฐอเมริกาต่างก็มีเสียงและอิทธิพลที่สำคัญในกิจการระหว่างประเทศ ในฐานะประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก จีนและสหรัฐอเมริกามีศักยภาพมหาศาลในการร่วมมือ ไม่ว่าในประเด็นระดับโลกต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ธรรมาภิบาลโลก การก่อการร้าย ฯลฯ ความร่วมมือระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาล้วนมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ดังที่เอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐอเมริกากล่าวไว้ โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยความวุ่นวายและการเปลี่ยนแปลงที่สลับซับซ้อน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่มั่นคง แต่ละประเทศต่างก็มีปัญหาภายในประเทศ ทุกประเทศต่างอยู่บนเรือลำเดียวกัน มีเพียงแต่ร่วมทุกข์ร่วมสุขและช่วยเหลือซึ่งกันและกันเท่านั้นจึงจะสามารถผ่านพ้นความยากลำบากไปด้วยกันได้ ไม่มีใครสามารถอยู่ได้โดยลำพัง ไม่ว่าใครก็ตามล้วนไม่ควรหวังผลประโยชน์ของตนผ่านการสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่น ในฐานะประเทศเศรษฐกิจสองอันดับแรกของโลกและสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ การเผชิญหน้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกามิอาจสร้างสันติภาพและความมั่นคงได้ “การแยกห่วงโซ่อุปทาน”จะนำมาซึ่งการผูกมัดตัวเองเท่านั้น การเป็นปรปักษ์กันระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาจะไม่มีผู้ชนะ และทั่วโลกก็ไม่อาจรองรับผลที่จะตามมาได้ มีเพียงจีนกับสหรัฐอเมริการ่วมมือกันรับมือกับความท้าทายระดับโลกและมอบดอกผลแห่งสันติภาพและการพัฒนามากยิ่งขึ้นแก่ทั่วโลกเท่านั้น จึงเป็นทางเลือกเดียวที่ถูกต้องสำหรับทั้งสองประเทศ