บทวิเคราะห์ : “โรงงานประภาคาร” ผู้นำการเปลี่ยนแปลงและยกระดับการผลิตของจีน
โครงการ“โรงงานประภาคาร” (Lighthouse Factory) เป็นโครงการที่ริเริ่มจัดขึ้นโดยฟอรั่มเศรษฐกิจโลกดาวอส(World Economic Forum)หรือWEF และบริษัทแมคคินซีย์แอนด์ คอมปะนี (McKinsey & Company) บริษัทที่ปรึกษายักษ์ใหญ่ของโลก เพื่อยกย่องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 เพิ่มกำลังผลิต เพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงานให้มากยิ่งขึ้น ส่งเสริมการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน ด้วยเหตุนี้ “โรงงานประภาคาร” ถือเป็นโรงงานที่ทันสมัยที่สุดของโลก และเป็นตัวแทนอุตสาหกรรมการผลิตที่ทุ่มเทกำลังมุ่งสู่ความเป็นดิจิทัลและอัจฉริยะ ปัจจุบัน “โรงงานประภาคาร”ได้แสดงบทบาทสำคัญในสาขาต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์บริโภค รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ การผลิตยา เป็นต้น
ตั้งแต่มีการคัดเลือก “โรงงานประภาคาร” เมื่อปี 2018 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ทั่วโลกมี “โรงงานประภาคาร” ทั้งหมด 132 โรงงาน ในจำนวนนี้ มี 50 โรงงานตั้งอยู่ในจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มี “โรงงานประภาคาร” มากที่สุดในโลกปัจจุบัน “โรงงานประภาคาร” เหล่านี้พิสูจน์ว่าผู้ผลิตนอกจากจะบรรลุเป้าหมายทางพาณิชย์แล้ว ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ และภาวะแวดล้อมด้วย
ไห่เอ่อร์ (Haier) เป็นวิสาหกิจจีนที่ครอง “โรงงานประภาคาร” มากที่สุดในจีนถึง 6 โรงงาน ซึ่งครอบคลุมการผลิตตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ เครื่องทําน้ำอุ่น และระบบควบคุมอัจฉริยะ
โรงงานเชื่อมต่อของไห่เอ่อร์ที่ผลิตเครื่องซักผ้าที่นครเทียนจินได้บรรลุความเป็นอัจฉริยะและการเชื่อมต่อของกระบวนการผลิตทั้งกระบวนตั้งแต่การวางแผนการผลิต การผลิต ไปจนถึงการนำผลิตภัณฑ์ออกจากโรงงาน โดยสามารถผลิตเครื่องซักผ้า 3 ล้านเครื่องต่อปี โรงงานแห่งนี้ใช้เวลาเพียง 38 นาทีในการแปรรูปแผ่นดีบุกให้เป็นเครื่องซักผ้าอัจฉริยะ เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อต้นปีนี้ โรงงานแห่งนี้ถูกจัดให้เป็น “โรงงานประภาคารยั่งยืน” ซึ่งเป็นโรงงานประภาคารแห่งแรกของจีนที่ได้เกียรติบัตรนี้ “โรงงานประภาคารยั่งยืน”คัดเลือกมาจาก “โรงงานประภาคาร” ถือเป็นประภาคารของบรรดาโรงงานประภาคาร
ต่อการนี้ ฟอรั่มเศรษฐกิจโลกระบุว่า ในบริบทที่ต้นทุนพลังงานเพิ่มขึ้น เพื่อปรับปรุงความยืดหยุ่นในการดําเนินงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ไห่เอ่อร์ใช้บิ๊กดาต้าและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อสร้างแบบจําลองโหลดพลังงานของอุปกรณ์ ใช้ตัวกําหนดตารางเวลาการผลิตที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยลดการใช้พลังงานลง 35% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 36%
จากการวิจัยของบริษัทแมคคินซีย์แอนด์คอมปะนีเกี่ยวกับ "โรงงานประภาคาร" ของจีนพบว่า วิสาหกิจจีนให้ความสําคัญกับการยอมรับการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่คุณค่าทางดิจิทัลแบบครบวงจรจากมิติของผู้ใช้บริการ ผลิตภัณฑ์ และผลประโยชน์
เนื่องจาก “โรงงานประภาคาร” สอดคล้องกับเงื่อนไขที่จำเป็น 3 ข้อได้แก่ มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ศักยภาพของพนักงาน และระดับการบริหาร จีนจึงตั้งเป้าให้"โรงงานประภาคาร" เป็นตัวอย่างอุตสาหกรรมการผลิตของจีนที่มุ่งการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลและอัจฉริยะ