บทวิเคราะห์:สหรัฐฯจำกัดการลงทุนต่อจีนนั้นจะเป็นบูมเมอแรงที่ย้อนมาทำลายตัวเองเช่นกัน
เช้าวันที่ 10 สิงหาคม ตามเวลาปักกิ่ง นายโจ ไบเดนประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งการจัดตั้งกลไกตรวจสอบการลงทุนต่อต่างประเทศ โดยมีข้อจำกัดต่อบริษัทสหรัฐฯ ที่ไปลงทุนด้านเซมิคอนดักเตอร์ ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศควอนตัมและปัญญาประดิษฐ์ของจีน
ก่อนอื่น เมื่อพิจารณาทุนของสหรัฐฯ คำสั่งดังกล่าวจะทำให้ทุนสหรัฐฯ ถูกแยกออกจาก “แหล่งนวัตกรรมสร้างใหม่” ของจีน นักวิเคราะห์ชี้ว่า ถ้าหากทุนสหรัฐฯถอนออกจากตลาดจีน เงินทุนของประเทศอื่นจะเข้าไปทดแทนอย่างรวดเร็ว “เดอะนิวยอร์กไทมส์”ก็ยอมรับว่า “จีนไม่ขาดแคลนเงินทุน ถ้าออกจากตลาดจีน ทุนของสหรัฐฯคงยากที่จะหาตลาดใหม่ที่มีผลกำไรสูงแบบนี้อีก”
นอกจากนี้ หากคําสั่งบริหารของสหรัฐฯนี้มีผลบังคับใช้ จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของห่วงโซ่อุตสาหกรรมทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมชิป ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมโลกาภิวัตน์สูง ที่ต้องมีการแบ่งงานและการประสานงานของทุกประเทศ ตามสถิติของแวดวงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง การผลิตชิปขั้นสูงบางอย่างประกอบด้วยกระบวนการมากกว่า 1,000 ขั้นตอน และต้องการความร่วมมือข้ามพรมแดนมากกว่า 70 ครั้งเพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีนเป็นตลาดชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากบริษัทอเมริกันจากไป จะสูญเสียผลประโยชน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯจํากัดการลงทุนในจีนนั้น เป็นการทําลายความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯอย่างหนักอีกครั้ง ตั้งแต่ต้นปีนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ หลายคนเยือนจีนอย่างต่อเนื่อง ต่างกล่าวว่าจะปฏิบัติตามฉันทามติของการประชุมที่เกาะบาหลีระหว่างผู้นําจีนกับสหรัฐ เพื่อดําเนินการเจรจาและความร่วมมือกับจีน แต่ปัจจุบัน สหรัฐฯ ดําเนินการจํากัดการลงทุนในจีน พยายามปราบปรามการพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูงของจีน เป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามกับคำพูดของตน อย่างปราศจากเครดิต
สหรัฐอเมริกาใช้ความพยายามเพื่อแยกออกจากจีน แต่ย่อมไม่สามารถขัดขวางการพัฒนาของจีนได้ และจะถูกทำลายจากบูมเมอแรงที่ตัวเองขว้างออกไป