ท่ามกลางไม้ผลเขียวชอุ่มที่รายล้อมอยู่ นักท่องเที่ยวสิบกว่าคนกำลังนั่งล้อมโต๊ะยาวที่วางผลไม้เมืองร้อนเก็บสด ๆ อย่างทุเรียน มังคุด และเงาะ “ผมกินทุเรียนไป 3 พูแล้ว เดี๋ยวจะลองชิมมังคุด แล้วก็จะซื้อผลไม้สักสองสามอย่างกลับบ้านด้วย” ชัยพรซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวทานทุเรียนคำโตและกล่าวอย่างตื่นเต้น บุญชื่นเจ้าของสวนกำลังยุ่งอยู่กับการช่วยลูกค้าเลือกทุเรียนกลับบ้าน
ฉากนี้เกิดขึ้นที่สวนยายดา จังหวัดระยอง ทางภาคตะวันออกของไทย สวนแห่งนี้ปลูกต้นทุเรียนและไม้ผลเมืองร้อนอื่น ๆ มากกว่า 200 ต้น ที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับบุฟเฟ่ต์ผลไม้และชมวิวทิวทัศน์ของสวนผลไม้ ด้วยการดำเนินงานที่เป็นเอกลักษณ์ สวนยายดาจึงได้รับรางวัลดีเด่นด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และยังเป็นหนึ่งใน 50 สถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดเมื่อมาเยือนจังหวัดระยอง
จากปากทางเข้าสวนผลไม้ เดินไปตามทางเล็ก ๆ ที่ปูด้วยหินไปยังด้านใน บริเวณรอบ ๆ ร่มรื่นเขียวชอุ่ม และบนกิ่งก้านของต้นไม้ก็เต็มไปด้วยผลไม้ ที่สวนยายดา นักท่องเที่ยวไม่เพียงแต่จะได้ลิ้มรสผลไม้เท่านั้น แต่ยังได้เห็น “กระบวนการเจริญเติบโต” ของผลไม้ต่าง ๆ “ตั้งแต่ต้นเริ่มงอกจนกระทั่งผลสุก” อีกด้วย บุญชื่นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลงบ้างเนื่องจากผลกระทบของโรคระบาด แต่สวนผลไม้แห่งนี้ดำเนินกิจการมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว และปัจจุบันก็มีนักท่องเที่ยวนับร้อยคนมาเยี่ยมชมทุกวัน
จังหวัดระยองตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของไทย ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 200 กิโลเมตร มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ประกอบด้วยแม่น้ำหลายสาย ภูเขาและป่าไม้อย่างหนาแน่นและอยู่ใกล้ทะเล ทำให้อุดมไปด้วยอาหารทะเล และยังเป็นแหล่งปลูกผลไม้อีกด้วย นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวจังหวัดระยองกล่าวว่า “ระยองมีชื่อเสียงในเรื่องเกาะ ชายหาด ป่าไม้และผลไม้ เรารวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว กีฬา และผลไม้เข้าไว้ด้วยกัน กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวมาชิมผลไม้ในสวนผลไม้และเล่นกีฬาท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในท้องถิ่นและกระจายรายได้สู่ชุมชนในชนบทเพิ่มขึ้น” ก่อนเกิดโรคระบาดระยองมีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศประมาณ 7 ล้านคนในแต่ละปี คิดเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 15%
เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่ชุมชนและชนบท ระยองจึงได้ริเริ่มโครงการท่องเที่ยว เช่น โครงการ "หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งผลิตภัณฑ์" นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยแนะนำว่า “ในฐานะที่เป็นผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ การท่องเที่ยวหมู่บ้านในชนบทช่วยให้นักท่องเที่ยวได้ดื่มด่ำทิวทัศน์ที่งดงามตามธรรมชาติ ได้รับความรู้ด้านการเกษตร และสัมผัสประเพณีพื้นบ้านที่แตกต่างกัน นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสวิถีชีวิตดั้งเดิมในชนบทอย่างลึกซึ้ง ซึ่งยังช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชาวบ้านระดับรากหญ้า และลดความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาเศรษฐกิจอีกด้วย”
จากการที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนชุมชนในชนบทมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลไทยก็ได้ส่งเสริมการจัดการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวระดับรากหญ้า โดยนายยุทธศักดิ์กล่าวว่า “เราประสานงานกับหน่วยงานของรัฐหลายแห่งในการจัดการตลาดท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว และผู้ที่ทำงานด้านการท่องเที่ยวในชุมชนชนบท และยังมีองค์กรเอกชน เช่น สมาคมการท่องเที่ยวในท้องถิ่นร่วมด้วยอย่างแข็งขัน เพื่อกำกับดูแลและประสานงานกิจกรรมการท่องเที่ยว และทำให้เกิดการบริหารจัดการที่มีระบบระเบียบ”